1. เมื่อเปิดสวิตช์ไปที่ตำแหน่ง “ON” เมื่อเปิดสวิตช์จุดระเบิดกระแสไฟจากแบตเตอรี่จะไหลเข้าขั้ว IG ของเร็กกูเลเตอร์ผ่านหน้าทองขาว P1 ออกขั้ว F เข้าขั้ว F ของอัลเทอร์เนเตอร์ผ่านขดลวดโรเตอร์ลงกราวด์ครบวงจรทำให้ขดลวดโรเตอร์เกิดสนามแม่เหล็ก จากสวิตช์อีกทางหนึ่งกระแสไฟฟ้าจะไหลไปยังหลอดไฟเตือนไฟชาร์จ ผ่านหน้าทองขาว P2 ลงกราวด์ ทำให้หลอดไฟเตือนติด
2. เมื่อเครื่องยนต์ทำงานความเร็วรอบต่ำ เมื่ออัลเทอร์เนเตอร์เริ่มหมุน จะเกิดกระแสไฟออกที่ขั้ว B ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าและเข้าชาร์จแบตเตอรี่ ขณะเดียวกันกระแสไฟจะออกที่ขั้ว N ด้วย ซึ่งแรงดันไฟฟ้าเป็นครึ่งหนึ่งของขั้ว B ไปยังขดลวดรีเลย์ไฟเตือน C2 ลงกราวด์ ทำให้มีอำนาจแม่เหล็กดูดหน้าทองขาว P2 ลงมาต่อหน้าทองขาว d แรงดันไฟฟ้าที่ขั้ว L และ B เท่ากันหลอดไฟเตือนจึงดับ
3. เมื่อความเร็วรอบของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น เมื่อความเร็วรอบของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น แรงดันไฟฟ้าที่ขั้ว B และในขดลวดโวลต์เตจเร็กกูเลเตอร์ (C1) สูงขึ้นทำให้ขดลวดโวลต์เตจเร็กกูเลเตอร์ มีอำนาจแม่เหล็กเพียงพอดูดหน้าทองขาว P1 ลงมา แต่ยังไม่ต่อกับหน้าทองขาว b กระแสไฟที่จะไหลเข้าขดลวดโรเตอร์ จึงต้องผ่านความต้านทานเป็นการลดกระแสไฟเพื่อควบคุมแรงดันให้อยู่ในค่าที่กำหนดคือประมาณ13.8 – 14.8 โวลต์
4. เมื่อเครื่องยนต์หมุนด้วยความเร็วรอบสูง เมื่อเครื่องยนต์หมุนด้วยความเร็วรอบสูง และกระแสไฟที่ออกจากอัลเตอร์เนเตอร์ยังไม่ลดลงแม้ว่าหน้าทองขาว P1 จะจากออกจาก a กระแสไฟที่ออกจากขั้วB ยังสูงขั้นเรื่อยๆ หากแรงดันไฟฟ้าสูงเกินกำหนด คือ ประมาณ 14.8 โวลต์ อำนาจแม่เหล็กที่ C1 จะสูงขึ้นดูดหน้าทองขาว P1 ลงมาต่อกับ b ทำให้กระแสไฟเข้าโรเตอร์ถูกตัดกระแสไฟที่ออกจากขั้ว B ก็จะลดลงและควบคุมไม่ให้แรงดันสูงเกินกำหนด