ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสีพ่นซ่อมรถยนต์
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
W3Schools.com
เทคนิคยานยนต์ทั่วไป

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ผู้เขียน : Admin™
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสีพ่นซ่อมรถยนต์





ประเภทของสีพ่นรถยนต์
 
โดยทั่วไปเราแบ่งสีพ่นรถยนต์ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

 
1. สี 1K :
 
            คือ สีระบบ 1 องค์ประกอบ (1 Component) คือ ประกอบด้วยส่วนของตัวสีเพียงอย่างเดียว ในการใช้งานอาจนำมาผสมกับตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น แต่ตัวทำละลายที่นำมาผสมนี้ จะไม่นับเป็นองค์ประกอบ เนื่องจากัวทำละลายจะระเหยัวออกไปจนหมดหลังการใช้งานเหลือเพียงฟิล์มสีที่แห้งตัวแล้วเท่านั้น

โดยทั่วไปแล้ว เราจะเข้าใจว่าสี 1K หมายถึง “สีแห้งเร็ว” ซึ่งไม่ถูกต้องหนัก เนื่องจากสี 1K มีด้วยกันหลายชนิด ได้แก่

 
สี 1K ซินเทติกอีนาเมล หรือสีน้ำมัน เป็นสี 1K แบบแห้งตัวช้า ซึ่งแห้งตัวโดยการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ (Oxidation)
สี 1K ไนโรเซลลูโลส เป็นสี 1K แบบแห้งตัวเร็ว ซึ่งแห้วตัวโดยการระเหยตัวของตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์ (Physical Drying)
สี 1K อะคริลิค เป็นสี 1K แบบแห้วตัวเร็ว ซึ่งแห้งตัวโดยการระเหยตัวของตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์ (Physical Drying)
2. สี OEM :
 
            คือ สีที่ใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ สีชนิดนี้มีเพียงองค์ประกอบเดียวในการใช้งานอาจนำมาผสมกับตัวทำละลาย เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น สีชนิดนี้จะแห้งตัวโดยการการอบที่อุณหภูมิสูงประมาณ 120-160 องศาเซลเซียส จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สีอบ” (High Bake Paint) หลังจากสีแห้งตัวแล้ว จะมีฟิล์มสีที่มีคุณภาพดีมากความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีสูงมีความทนทานต่อตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์ หรือน้ำมันเบนซิล/ดีเซลได้ดีมาก และทนทานต่อสานเคมีต่างๆ เช่น น้ำมันเบรกได้ดี นอกจากนี้ยังมีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมให้ความเงาที่ดีมีเนื้อสีมาก รวมทั้ง สามารถทนทานต่อแสงแดดได้ดี จึงไม่ซีดจางง่ายมีความคงทนสูงและคงสภาพเดิมได้นานมาก
 
3. สี 2K :
 
            คือ สีระบบ 2 องค์ประกอบ (2 Component) คือ ประกอบด้วยส่วนของตัวสีซึ่งคือ องค์ประกอบที่ 1 และตัวเร่งปฏิกิริยา (Hardener หรือ Activator) ซึ่งคือองค์ประกอบที่ 2 โดยก่อนใช้งานต้องนำทั้ง 2 องค์ประกอบมาผสมกันตามอัตราส่วน เพื่อให้เกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งจะทำให้สีเกิดการแห้งตัว (Chemical Drying)

            สี 2K ที่ใช้ในงานสีรถยนต์ จะมี 2 ชนิดหลักด้วยกัน คือ สี 2K แบบ “อีพ๊อกซี่” และสี 2K แบบ “โพลียูรีเทน” (หรือผสมกับอะครีลิค) สำหรับตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ จะเป็นสารประเภท ไอโซไซยาเนท (Isocyanate) ซึ่งจะทำให้สีเกิดการแห้งตัวภายหลังผสมตามอัตราส่วนที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด สี 2K หลังจากแห้งตัวแล้ว จะมีคุณสมบัติในด้านความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีสูง มีความทนทานต่อตัวทำละลาย เช่น ทินเนอร์ หรือน้ำมันเบนซิล/ดีเซลได้ดีมาก และทนทานต่อสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำมันเบรกได้ดี นอกจากนี้ยังมีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ให้ความเงาสูงมีเนื้อสีมาก รวมทั้ง สามารถทนทานต่อแสงแดดได้ดี จึงไม่ซีดจางง่าย มีความคงทนสูงและคงสภาพเดิมได้นานมาก กล่าวคือ มีคุณสมบัติที่เทียบเคียงได้กับสี OEM

            >>>> โดยทั่วไป เราจะเรียกสี 2K ว่า “สีแห้งช้า” ซึ่งก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เนื่องจากสี 2K ในปัจจุบันนี้ ได้ถูกพัฒนาให้สามารถแห้งตัวได้เร็วขึ้นมาก โดยที่คุณสมบัติยังดีเหมือนเดิม !!! <<<<

            สำหรับการพ่นซ่อมสีรถยนต์ในอู่ หรือศูนย์ซ่อมสีทั่วไปนั้น จะเลือกใช้สีได้แค่ 2 แบบ คือ สี 1K หรือสี 2K เท่านั้น ไม่สามารถนำสี OEM มาใช้ได้ เนื่องจากสี OEM จะต้องอบที่อุณหภูมิสูงมาก ซึ่งอู่หรือศูนย์ไม่สามารถทำได้ ในปัจจุบันนี้อู่หรือศูนย์ซ่อมสีชั้นนำจะหันมาใช้สีระบบ 2K เนื่องจากมีคุณภาพโดยรวมที่ดีกว่าสี 1K มาก

 
 เหตุผลที่ทำให้สี 2K มีคุณสมบัติดีกว่าสี 1K
 
            การแห้งตัวของสีถือว่า เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลถึงคุณภาพโดยรวมของสี ซึ่งการแห้งตัวที่เกิดจากการทำปฏิกิริยา
ระหว่างองค์ประกอบ 2 ส่วน ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในเรซิ่น (Resin) ของสี และอีกส่วนอยู่ในตัวเร่งหรือฮาร์ดเดนเนอร์ (Hardener) นั้น ถือว่าเป็นการแห้งตัวที่ทำให้ได้ฟิล์มที่แห้งสมบูรณ์ ฟิล์มสีจึงค่อนข้างแข็งแกร่งและมีคุณสมบัติในด้านอื่นๆ ดีมาก ดังนี้

 
Durability - ความทนทาน รถยนต์ที่ซ่อมสีโดยใช้ระบบสี 2K จะคงสภาพเดิมและมีระยะเวลาคงสภาพเดิมได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี
Weather Resistance - ความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ
Chemical Resistance - สามารถทนทานต่อสารเคมีต่างๆ ได้ดี เช่น ทินเนอร์ น้ำมันเบรก
Color Retention - สามารถคงสภาพสีเดิม ไม่ซีดจางจากเดิมง่าย
Gloss - มีความเงางามสูง
ให้คุณสมบัติเหมือนสีรถที่ออกจากโรงงานประกอบรถยนต์ O.E.M (Original Equipment Manufacturing)
 
            คุณสมบัติที่กล่าวมาในเบื้องต้นนั้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการทำงานที่ถูกต้องตามที่บริษัทผู้ผลิตสีเป็นผ็กำหนดและ
อู่รถที่จะใช้งานระบบสี 2K ควรจะเป็นอู่ที่มีมาตรฐาน และมีอุปกรณ์ในการทำงานที่ทันสมัยเหมาะที่จะใช้สี 2K เช่น ห้องพ่นสี ระบบถังปั๊มลม กาพ่นสี รวมถึง ช่างที่มีประสบการณ์พร้อมทั้ง เคยได้รับคำแนะนำและการอบรมจากบริษัทผู้ผลิต

 
 ส่วนประกอบหลักของระบบสี 2K
 
สี 2K มีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ
 
1. ส่วนที่เป็นเนื้อสี
 
จะเกิดมาจากส่วนผสมหลัก 4 ส่วน ซึ่งรวมกันเป็นเนื้อเดียวและอยู่ในกระป๋องเดียวกันแล้ว คือ
            a. กาว หรือเรซิ่น (Resin) หรืออาจเรียกว่า Binder หรือ Film Former ทำหน้าที่เป็นัวยึดเกาะของส่วนประกอบ
อื่นๆ ของสี เมื่อสีแห้งแล้ว เรซิ่นจะเกาะตัวเข้าด้วยกันเกิดเป็นเนื้อฟิล์ม ซึ่งเรซิ่นที่ใช้ในสีประเภทนี้ คือ โพลียูเรเทน ที่มีคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง เช่น ความเงา ความแข็ง การยึดเกาะ การทนต่อสารเคมี ทนต่อความชื้น เป็นต้น
            b. ผงสี (Pigment) เป็นสารที่ทำหน้าที่ในการปกปิดพื้นผิว และทำให้เกิดสีสันต่างๆ เช่น ดำ แดง เหลือง เขียว
หรืออาจใช้กันสนิมได้อีกด้วย แต่ในกรณีที่เป็นเคลียร์ที่ใช้เคลือบเงา จะไม่มีผงสีผสมอยู่
            c. ตัวทำละลาย (Solvent) ทำหน้าที่ในการช่วยให้ผงสีและเรซิ่น กระจายตัวเข้าเป็นเนื้อเดียวกันทั้งยังทำหน้าที่
ในการเจือจางหรือปรับความข้นเหลวของสีให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานด้วย
            d. สารปรับแต่ง (Additive) เป็นส่วนประกอบที่หน้าที่เพิ่มคุณสมบัติหรือลดข้อด้อยบางอย่างของสี เช่น ช่วยให้
ฟิล์มเรียบง่าย ช่วยป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ ช่วยป้องกันการแยกตัวของผงสีและเรซิ่น ป้องกันการตกตะกอน เป็นต้น

 
2. ส่วนที่เป็นตัวเร่งที่ทำให้สีแข็งตัว (Hardener หรือ Activator)
 
            ส่วนนี้จะแยกออกจากส่วนแรกโดยเด็ดขาด เมื่อจะนำสีไปใช้งานจึงค่อยผสมส่วนนี้ลงไป และน้ำยานี้ก็เป็นส่วน
ที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากถ้าไม่ใส่น้ำยานี้เข้าไปในสีและนำสีไปใช้สีจะไม่แห้งแข็งเป็นฟิล์ม ซึ่งน้ำยานี้ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของไอโซไชยาเนท (Isocyanate)

 
 สี 2K ที่ดีเป็นอย่างไร
 
            จากที่ทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า สี 2K นั้น มีคุณภาพดีกว่า สี 1K อย่างเทียบกันไม่ติดในหลายๆ ด้าน จึงเป็น
ผลให้อู่ซ่อมสีชั้นนำในปัจจุบันนี้หันมาใช้สี 2K กันแทบทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม สี 2K ในท้องตลาดเอง ก็มีหลากหลายยี่ห้อซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพย่อมแตกต่างกันออกไป เราจึงควรทราบว่า สี 2K ที่ดีนั้น แตกต่างจากสี 2K ทั่วๆ ไปอย่างไร

 
1. วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต (Raw Materials)
 
            จากที่ทราบแล้วว่า สี 2K มีส่วนประกอบหลักหลายส่วนด้วยกัน ซึ่งในกระบวนการผลิตสี 2K ให้มีคุณภาพดีนั้น
ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง เช่น การเลือกใช้เรซิ่นที่มีคุณภาพดี ส่งผลให้สี 2K นั้นๆ มีคุณสมบัติในมีความแข็งแรงของชั้นฟิล์มสีที่ดีมาก การยึดเกาะที่ดี ไม่หลุดล่อนง่าย มีความเงางามสูงและทนต่อสารเคมีต่างๆ ได้ดี เป็นพิเศษ ส่วนการเลือกใช้ผงสีที่มีคุณภาพดี สำหรับสีทับหน้า ก็จะทำให้สี 2K นั้นๆ มีสีสันที่สดสวย สีมีคามคงทน ไม่ว่าจะเป็นสีเมทัลลิค (สีที่มีส่วนผสมของบรอนซ์ ซึ่งจะทำให้เกิดการเป็นประกายเมื่อกระทบแสง) หรือหรือสีมุก (สีที่มีส่วนผสมของมุกซึ่งทำให้เกิดการมองเห็นสีที่เหลือบตามมุมมอง) หรือถ้าเป็นสีรองพื้น การเลือกผงสีที่คุณสมบัติในการป้องกันสนิมที่ดี ก็จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดสนิมขึ้นในภายหลังอย่างแน่นอน ส่วนสารปรับแต่งก็เป็นอีกตัวหนึ่ง ที่จะช่วยทำให้คุณสมบัติของสีดีขึ้น ถึงแม้ว่าโดยทั่วๆ ไปสารปรับแต่งจะมีราคาสูงมากก็ตาม การเลือกเติมสารปรับแต่งบางัวลงไป เช่น Anti-UV จะช่วยปกป้องฟิล์มสีจากรังสียูวีของดวงอาทิตย์ ทำให้สีมีความเงางามและสีสันที่สดใส ไม่ซีดไม่จางง่ายลอดอายุการใช้งาน

 
2. กระบวนการผลิต (Process)
 
            นอกจากการเลือกใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพดีแล้ว กระบวนการผลิตก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตที่ดีนั้น จะหมายถึง การใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยผู้ปฏิบัติงานที่มีทักษะสูง รวมถึง ระบบการควบคุมคุณภาพที่ดี เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี และมีความคงที่
 
 สี 2K สแตนด็อกซ์ (Standox)
 
            เป็นสี 2K ชั้นนำในวงการสีพ่นรถยนต์ที่ผลิตจากประเทศเยอรมันนี โดยเลือกใช้วัตถุดิบในการผลิตที่ดีที่สุดผ่าน
กระบวนการผลิตที่มาตรฐานสูงสุด และการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนตามมาตรฐาน ISO 9001 และการรักษาสภาพแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14001 จึงส่งผลให้สี สแตนด็อกซ์ เป็นสีพ่นรถยนต์ที่มีคุณภาพดีเลิศ และเป็นที่นิยมอย่างสูงในประเทศที่มีมาตรฐานสูงอย่างเยอรมันนี จนมียอดขายเป็นอันดับ 1 ในประเทศเยอรมันนี* และนอกจากนี้ยังได้รับการยอมรับจากศูนย์ซ่อมสีชั้นนำทั่วโลกในเรื่องคุณภาพอีกด้วย

            นอกจากนี้ สแตนด็อกซ์ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของสภาพแวดล้อม เนื่องจากสารระเหยที่เกิดจากกระบวน
การพ่นสีนั้น สามารถทำลายชั้นโอโซนใยบรรยากาศ ทำให้สภาพบรรยากาศของโลกเกิดการเสียหายได้ สแตนด็อกซ์ จึงพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีปริมาณสารระเหยต่ำ โดยเฉพาะ สีสูตรผสมน้ำ (Waterborne Paint) ซึ่งเป็นสีที่มีปริมาณสารระเหยต่ำมาก จึงช่วยรักษาสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี

 
ประโยชน์/จุดเด่นของสีระบบ 2K Standox
 
1.  สีรองพื้นระบบ 2K (Primer/Surfacer)
   
 
ให้การยึดเกาะที่ดีเยี่ยม สีจึงต้องแน่นกับตัวถังรถและสีที่ทับหน้า ไม่เกิดปัญหาสีพองหรือหลุดล่อนได้ง่าย
ให้การกลบรอยที่ดี จึงลดปัญหาเรื่องรอยเส้นกระดาษทราย รวมทั้ง รอยตำหนิต่างๆ ของพื้นผิว
ให้การปกปิดพื้นผิวที่ดี จึงช่วยลดจำนวนการพ่นให้น้อยเที่ยวลง
ให้ความหนาแน่นของฟิล์มสูง ทำให้มีการดูดซึมน้อยจึงลดปัญหาเรื่องสีซึม รวมทั้ง ยังช่วยป้องกันการแทรกซึมของน้ำได้ดี จึงช่วยป้องกันสนิมไปในตัว
มีปริมาณสารระเหยต่ำลดปริมาณสารระเหยต่ำ ลดปริมาณสารระเหยที่จะทำลายสภาพแวดล้อมของโลก
 
2.  สีทับหน้า/เคลียร์ระบบ 2K (Topcoat/Clear Coat)
   
 
ให้ความทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศได้ดี จึงมีอายุการใช้งานยาวนาน
ทนต่อรังสียูวีจากแสงแดด จึงไม่เกิดปัญหาฟิล์มสีเสื่อมสภาพได้ง่าย
ให้การยึดเกาะดี จึงไม่เกิดปัญหาเรื่องฟิล์มสีพองหรือหลุดล่อน
มีความเงางามสูงและคงสภาพได้นาน จึงดูใหม่อยู่เสมอ
ทนสารเคมีและตัวทำลายได้ดีมาก จึงไม่เกิดปัญหาแม้ใช้งานสภาพแวดล้อมที่มลภาวะสูง
มีปริมาณสารระเหยต่ำ ลดปริมาณสารระเหยที่จะทำลายสภาพแวดล้อมของโลก
 
            อู่หรือศูนย์ซ่อมสีที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ สแตนด็อกซ์ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในเรื่องคุณภาพของงานอย่างไร ก็ตาม ควรเลือกอู่ที่ใช้ผลิภัณฑ์ของ สแตนด็อกซ์ ครบทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นสีโป๊ว, สีรองพื้น, สีจริง หรือเคลียร์ทับหน้า ซึ่งจะมั่นใจได้ว่า รถที่ท่านรักจะได้รับการปกป้องจากสีที่มีคุณภาพดีเลิศมีสีสันที่สดสวย และมีความเงางามเทียบเท่ากับรถยนต์ชั้นยอด และแน่นอนว่าคุ้มค่าแก่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านจ่ายออกไป


ลิ้งค์หัวข้อ: บ้านหรรษา ดอทคอม/topic/85

สวัสดีครับคุณ ผู้เยี่ยมชม ร่วมสนับสนุน เว็ปบ้านหรรษา ดอทคอม ด้วยการสมัครสมาชิก VIP. สามารถโหลดข้อมูลได้ทั้งเวป   ;;tty; ;;tty;  ขออภัย! คุณไม่สามารถเห็นลิ้งค์ที่โพสต์นี้ได้ กรุณาสมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ
คลิ๊กเลย
 

 

ร่วมสนับสนุนเว็บ บ้านหรรษา ดอทคอม ด้วยการสมัครสมาชิก VIP. เพียง 500฿ ต่อปี